เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๕ ส.ค. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เราเป็นชาวพุทธ เวลาเราจะส่งลูกหลานเราไปเรียนต่างประเทศ เพราะเราว่าเราไปเรียนต่างประเทศ เราจะได้วิชาการที่ดีมา เราเป็นชาวพุทธ เขาบอกชาวพุทธ ใช้เวลาสั่งสอนกันจากนิทานปรัมปรา จากการเล่าสู่กันฟัง เพราะว่าเมืองไทยการอ่านหนังสือน้อยมาก แต่ทางตะวันตกเขาอ่านหนังสือเยอะมาก ฉะนั้นเราไปศึกษาปัญญาจากทางตะวันตก ปัญญาอย่างนั้นเป็นปัญญาการดำรงชีวิต ปัญญาอย่างนั้นเป็นวิชาชีพ แต่ปัญญาในทางพุทธศาสนา มันเป็นปัญญาที่จะรื้อค้นเรานะ

ดูห่วงโซ่ทางอาหารสิ ถ้าห่วงโซ่ทางอาหาร ดูสิ สัตว์ใหญ่มันกินสัตว์เล็ก ปลาใหญ่กินปลาเล็ก นี่สัตว์ใหญ่มันกินแต่สัตว์เล็กเป็นอาหารของมัน เว้นไว้แต่สัตว์ที่กินพืชเป็นอาหาร นั่นห่วงโซ่ของอาหารเขาก็มีของเขา

เวลาห่วงโซ่การดำรงชีวิตของเราล่ะ! เรามีชาติ มีตระกูล เรามีพ่อ มีแม่ เราก็มีห่วงโซ่ของเรา นี่ห่วงโซ่การดำรงชีวิตของเรานะ แล้วห่วงโซ่ความคิดล่ะ! เวลาเรามีความคิด ความคิดมันเกิดจากจิตตลอดเวลา ความคิดมันเกิดจากจิต แล้วคนเราความคิดเห็นไหม...?

...คนดีทำความดีง่าย ทำความชั่วยาก...

...คนชั่วทำความชั่วง่าย ทำความดียาก...

คนชั่วมันคิดแต่เรื่องชั่วๆ ไปบอกเรื่องความดีของมัน มันจะคัดค้านของมัน คนดีเขาคิดแต่เรื่องดีนะ คนดีนะ สังคมของคนที่เป็นคนดี เขาว่า เอ๊ะ! ทำไมคนเขาคิดกันขนาดนั้นได้ เขาคิดแต่ความชั่วของเขาอย่างนั้นได้ นี่ห่วงโซ่ของความคิดนะ ถ้าความคิดมันเกิดจากขบวนการของความคิด ถ้าเราจับขบวนการของความคิดให้มันเรียบร้อยขึ้นมา ขบวนการของความคิดจัดให้มันเป็นระบบนะ เขาว่าบรรลุธรรมนะ นี่ใช้ปัญญาไง

โอ๊ย! ตรัสรู้ธรรม... พระอรหันต์... นิพพานน่ะ... ห่วงโซ่ความคิดน่ะ ถ้าห่วงโซ่ความคิดก็ขบวนการของเขา เขาดูขบวนการของเขา เขาจัดขบวนการความคิดของเขา พอขบวนการของความคิดมันเรียบร้อยขึ้นมาก็เท่านั้นน่ะ

พุทธศาสนายังไม่เกิดเลย พุทธศาสนาเกิด ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ เห็นไหม อาฬารดาบส อุทกดาบสว่า “องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้สมาบัติ ๘ ได้เท่าเรา ได้สมาบัติคือทำความสงบของใจ ห่วงโซ่ทางความคิดควบคุมได้หมดเลย มีความรู้สึกเหมือนเรา สอนได้เลย เป็นอาจารย์ บรรลุธรรมแล้ว”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า “ไม่เอา” เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นแล้ว กาลามสูตร ไม่ให้เชื่อใดๆ ทั้งสิ้น ให้เชื่อความสุข ความทุกข์ของเรา มันจริงหรือเปล่า นี่ว่าบรรลุธรรมๆ นี่ ขบวนการความคิดเราควบคุมได้แล้วนี่ เราบรรลุธรรมน่ะ จริงหรือเปล่า...?

นี่มันยังสงสัยไง จริงๆ แล้วมันยังสงสัย แต่สังคมมันอ่อนแอ พอสังคมอ่อนแอ ขบวนการความคิดที่จัดเรียบร้อยแล้ว เราอยู่ในสังคม กระแสสังคมไง นี่เวลาเข้าสังคม เยินยอกัน ว่างๆ เหมือนเรานี่ เราก็อนาคามี... คุณก็เป็นอนาคามี... ทำไมเป็นอนาคามีล่ะ...?

ก็ว่างๆ ไง นี่ว่างๆ นี่เป็นอนาคามี ด้วยความคิดของเขาเห็นไหม

ห่วงโซ่ของกรรม กิเลสกระทำ เห็นไหม ถ้าห่วงโซ่ของกรรมมันมีอยู่นะ ดูสิ ถ้ากรรมยังไม่สิ้นสุด ดูเราสังเกตได้ไหม เวลาเขามีเวรมีกรรมต่อกัน เขามีการกระทบกระเทือนกันมาก มันก็ต้องจำทนกันไป เวลามันหมดเวรหมดกรรมนะ เอ่อ...เลิกกันที มันแยกได้นะ แต่ถ้ายังไม่หมดเวรหมดกรรม มันยอมจำนนนะ... มันยอมจำนนอย่างนั้น... เอ๊ย! เราก็มอง เอ๊ะ! ทำไมเขายอมรับเหตุกันอย่างนั้น แต่นั้นคือกรรมนะ เวลากรรมมันให้ผลนั้นวิบาก ผลของมัน

ถ้าผลของมันเกิดสภาวะแบบนั้น จิตใจมันคิดไม่ได้ จิตใจมันยอมรับสภาวะแบบนั้น แต่ถ้าเวลาหมดเวรหมดกรรมนะ นี่ปัญญามันแล่น มีเหตุมีผล เหตุผลทางวิทยาศาสตร์ไง เหตุผลทางโลกเห็นไหม เหตุผลที่ว่าวิทยาศาสตร์ๆ นี่ แต่มันมีกรรมนะ กรรมคือความชอบ กรรมคือความสัมพันธ์ของจิต จิตมันมีความสัมพันธ์กัน มีความดูดดื่มกัน มีการยอมรับกันนี่ มันเป็นผลของกรรม แล้วผลของกรรม ถ้าเวลาภาวนากัน นี่!ผลของกรรม ถ้าผลของกรรม... ภวาสวะภพ

กรรมมันอยู่ที่ไหน...? จิตนี้เกิดมาที่ไหน...?

ถ้าจิตมันเกิดจากไหนเห็นไหม ถ้าจิตสงบเข้ามา ทำความสงบของจิตเข้ามา จิตมันสงบถึงตัวของจิต นี่สมถกรรมฐาน มีฐานที่ตั้งแห่งการงาน เรามีถิ่นกำเนิดนะ นี่ชนชาติใด ภาษาใด มีชนชาติ เชื้อชาติสิ่งใด ทะเบียนบ้านนี่จดไว้หมดเลย

นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่มันเกิดขึ้นมาจากใจ มันเกิดมาจากไหน ขบวนการของความคิด มันเป็นขบวนการของสัญชาตญาณ ขบวนการของความคิด ขบวนการของการเกิดเป็นมนุษย์ การเกิดเป็นมนุษย์นี่...เกิดเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา...พุทธศาสนาสอนที่ไหน...? พุทธศาสนาสอนทำความสงบของใจ

ถ้าความสงบของใจนี่ “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต”

ถ้าจิตสงบเข้ามาเห็นภวาสวะ เห็นภพ เห็นสัมมาสมาธิ เห็นพุทธะ พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน แล้วผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ทำอย่างไรต่อไป ขบวนการของมันจะกลับเข้ามาทางขบวนการของกรรม กรรมที่มันสะสมมาที่หัวใจนี่ ผลของกรรม ห่วงโซ่ของมันนี่

ดูสิ บุพเพนิวาสานุสติญาณ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย้อนอดีตชาติไป บุพเพนิวาสานุสติญาณสิ่งที่กำเนิดมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ไง พระโพธิสัตว์เห็นไหม ทำมา ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย สะสมมาๆๆ สะสมมาเป็นจริตนิสัย เป็นพันธุกรรมทางจิต ถ้าจิตนี้พันธุกรรมของมัน มันมีเชื้อมีไขของมัน รากแก้วไม่ได้ถอดขึ้นมา ไม่มีวันจบ! มันเป็นไปไม่ได้! สิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ ถ้ารากแก้วเอ็งไม่ถอนขึ้นมา แล้วถอนรากแก้วที่ไหน

ก็ว่างๆ ...ท่านก็อนาคามี... เราก็อนาคามีด้วยกันเห็นไหม ทำไมถึงเป็นอนาคามีล่ะ...? ก็มันว่างๆ ...แล้วถ้าไม่เป็นอนาคามีล่ะ ก็คิดเอานี่... มันจบ มันหาไม่เจอน่ะ มันรื้อค้นแล้วมันว่างหมดเลย มันหาอะไรไม่เจอน่ะ ไร้เดียงสามาก!

การไร้เดียงสา แล้วเวลาพุทโธๆ เพราะเขาไม่เคยทำพุทโธ เพราะพุทโธๆๆ เห็นไหม เวลาหลวงตาท่านพูด “พุทโธคำเดียว สะเทือนสามโลกธาตุ” กามภพ รูปภพ อรูปภพ สะเทือนหมดเลย สะเทือนเพราะอะไร สะเทือนเพราะหัวใจ เวลาจิตมันไปเกิด นี่ผลของวัฏฏะ กามภพ รูปภพ อรูปภพ นี่ใครไปเกิด...ก็จิตนี้ไปเกิด พอจิตนี้มันไปเกิด จิตนี้มันไปเกิดทุกภพ พอจิตมันไปเกิดทุกภพ มันสะเทือนถึงพุทโธ สะเทือนถึงหัวใจ

ถ้าสะเทือนถึงหัวใจเห็นไหม นี่พุทโธสะเทือนสามโลกธาตุ พุทโธๆๆ แต่ของเราพุทโธนี่ พุทโธเราไม่สะเทือนอะไรเลย... เพราะอะไร...? เพราะเราไปพุทโธที่สัญญาไง เราต้องฝึกฝนขึ้นมาเห็นไหม

เราเห็นลูกหลานเราไหม ลูกหลานเรามา เราก็พามาวัด มาสนุกครึกครื้นของมัน มันมีความอบอุ่นของมัน นี่เขารับได้แค่นี้ไง เด็กรับได้แค่นี้ เด็กมีความสุขแค่นี้ เด็กมาวัดมาวาแล้วนี่ มันคุ้นชินกับวัด เข้าวัดไม่เก้อ ไม่เคอะ ไม่เขิน ชวนไปวัดก็ไปวัดนะ เด็กไม่เคยไปวัดไปวาเลย จนเฒ่าจนแก่ ชวนไปวัดไม่กล้าไปนะ กลัวไปแล้วทำไม่ถูก

นี้ก็เหมือนกัน พุทโธของเรานะ พุทโธเด็กๆ มันก็ต้องพุทโธไปก่อน คนไม่เคยเข้าวัดเลยน่ะ เก้อๆ เขินๆ ทำอะไรก็ไม่ถูก จับต้องสิ่งใดก็ไม่ถูก แต่เด็กของเรานี่ เราพาเข้าวัดเข้าวาของเราแล้วนี่ มันวิ่งนำหน้าเลย มันรู้เลยจะไปนั่งตรงไหน จะไปกินที่ไหน จะไปเก็บล้างที่ไหน

นี่ก็เหมือนกัน มันยังไม่ได้เริ่มต้นพุทโธๆ ก็พุทโธไปก่อน พุทโธๆๆ เริ่มต้นในการฝึกฝนมันต้องมีเริ่มต้นจุดสตาร์ทของมันไปก่อน พุทโธๆๆ พุทโธ จนมันเข้าไปสู่จิต พุทๆๆๆ พุท...ไม่ออกเลย เพราะพุทโธมันเป็นสัญญา พุทโธมันเกิดจากจิต เพราะเรานึกพุทโธๆ มันจึงเกิดขึ้นมา นี่สะเทือนสามโลกธาตุ สะเทือนถึงหัวใจ

ถ้าเรานึกจนตัวมันเองเป็นพุทโธ มันนึกไม่ได้หรอก นี่ถ้ามันนึกไม่ได้ เขาถึงจะไม่สบประมาทพุทโธไง ถ้าคนพุทโธเข้าไปถึงหัวใจแล้วจะไม่กล้าพูดว่าพุทโธทำไม่ได้... พุทโธตัวแข็ง... พุทโธนี่มันเป็นสมถะ... พุทโธไม่มีปัญญา... ไอ้พวกพุทโธนี่ ไอ้พวกโง่เง่าเต่าตุ่น... ไอ้ใช้ปัญญานี่สุดยอดเลยนี่ แต่ไม่รู้ว่าปัญญากิเลสนะ

นี่เหตุที่พูดออกไป เหตุที่ขัดแย้งออกไปนี่...สงสาร! สงสารสังคม! สงสารสัตว์โลก! สัตว์โลกมันไม่ให้รับข้อมูลทางเดียว ต้องมีข้อมูลอีกทางหนึ่ง ถ้าไม่มีข้อมูล ไม่มีเหตุมีผล คนพูดก็คนบ้าไง คนบ้านะ! ไปพูดติเตียนคนอื่นโดยไม่มีเหตุมีผล ไม่มีหลักมีเกณฑ์นี่ คนนั้นเป็นคนบ้า ยิ่งใครพูดออกไปนะ...

ดูสิ เวลาพูดนะ เป็นเจ้านายคำพูดใช่ไหม พอพูดออกไปคำพูดเป็นเจ้านายเราแล้ว เพราะเราพูดออกไปแล้ว มีหลักมีเกณฑ์แล้วก็เอากล้องส่องสิ ว่ามันไปว่ากล่าวใคร มันพูดเรื่องอะไร มันพูดเรื่องสัจธรรม สัจธรรมเป็นสาธารณะ

สัจธรรม! ดูธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสิ “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต” เห็นไหม ผู้ใด จิตดวงใด ผู้กระทำคนใด ผู้ใดเห็นไหม เสมอภาคมากนะ ไม่ใช่เจาะจงใครเลย ผู้ใด ใครก็ได้ที่มีความรู้สึก... ใครก็ได้ที่มีศรัทธา... ใครก็ได้ที่มีความมั่นคงของใจ... แล้วใครคนนั้น ทำเพื่อประโยชน์คนนั้นขึ้นมา แล้วถ้าประโยชน์จริงขึ้นมาเห็นไหม มันพิสูจน์ได้

นี่คนพูดออกไปมีแต่เสียกับเสีย เพราะอ้าปากไปแล้วนะ เขาเอาไปส่องกล้อง ส่องกล้องเลยนี่ พูดด้วยอารมณ์รุนแรง พูดด้วยความโกรธ ธรรมะผ่านความโกรธมามันจะเป็นธรรมะได้อย่างไร นี่ธรรมะผ่านความโกรธ ความโลภ ความหลงมา ธรรมะผ่าน…

แต่เวลาจิตมันอยู่ในอวิชชา มันพูดออกมา มันบอกว่าไม่ได้ผ่านความหลงเลย ผ่านด้วยกิริยามารยาทที่สำรวมเรียบร้อย มารยาทสังคม อู้ฮู! สวยงามมาก พูดออกมาด้วยธรรมะนะ ธรรมะสงบเสงี่ยมนะ แต่ไม่รู้ว่าอวิชชาเต็มหัวใจ

แต่พลังของธรรม! พลังของธรรมที่มันใสสะอาดของมันนะ เวลาพลังของมันๆ ต้องการผลประโยชน์ของมัน พลังของธรรมนี่ ดูสิ เวลาเกิดพายุ เราใช้พลังงานของแสงอาทิตย์เพื่อความอบอุ่นของเรา เวลาพายุสุริยะมานี่ เวลามันปล่อยแสงกัมมันตภาพรังสีออกมานี่ มันทำลายโลกหมดเลย สิ่งที่นี่ก็เหมือนกัน สิ่งที่ว่าเราใช้ปัญญาของเราๆ นี่ เวลาพายุสุริยะมันเกิดขึ้นมานะ มันทำลายหมดนะ มันทำลายทุกๆ อย่างเลย

แต่ถ้าเวลาครูบาอาจารย์ของเราเห็นไหม ดวงอาทิตย์นั้นโดนทำลายแล้ว ดวงอาทิตย์นั้นคือภวาสวะ คือภพ คือตัวอวิชชา ได้ทำลายพลังงานนั้นหมดแล้ว แล้วแสงที่มันออกมานี่ แสงโดยธรรมชาตินี่ แสงอย่างนี้มันเป็นแสงของธรรม

แต่พายุสุริยะนั้นเกิดขึ้นมาไม่ได้ เกิดขึ้นไม่ได้เพราะอะไร เพราะมันไม่มีภวาสวะ มันไม่มีภพ มันไม่มีสิ่งต่างๆ มันไม่มีโทษไง แต่ถ้ามันเกิดนุ่มนวลๆ เวลาเกิดพายุสุริยะขึ้นมานี่ ไม่มีอะไรเหลือนะ จักรวาลนี้หมดเลย

จักรวาลนี้เห็นไหม จิตก็คือจิตหนึ่ง จิตหนึ่งก็จักรวาลหนึ่ง จิตหนึ่งก็เกิดตาย! เกิดตาย! ในวัฏฏะหนึ่ง นี่สะเทือนสามโลกธาตุ เวลามันเข้าไปทำลายมันรู้มันเห็นของมัน มันเป็นความมหัศจรรย์นะ นี่! ธรรมะ ธรรมะมันมีเหตุมีผล ธรรมะมีที่มาที่ไป ธรรมะนี่เป็นของใคร เราเป็นสาวก สาวกะ ธรรมะนี่เป็นขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเราเคารพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นไหม หลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์เคารพมาก เคารพเพราะอะไร เคารพว่าสิ่งนี้มันเหมือนเราเลย

เรานะกระหายน้ำมาก เราจะเป็นจะตายไม่มีอาหารจะกิน เราไปในป่าในเขา แล้วไปเจอผลไม้ ไปเจอแหล่งน้ำ ไปเจอสิ่งต่างๆ เราเคารพที่นั่นไหม เรากตัญญูกับป่าไม้นั้นไหม นี่ก็เหมือนกัน เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าของศาสนา วางธรรมและวินัยนี้ไว้ แล้วเราเกิดมาเป็นสาวก สาวกะ เราได้มารื้อมาค้น เราได้ประโยชน์จากธรรมและวินัยนี้ จะเคารพพระพุทธเจ้าไหม จะกตัญญูไหม จะนอบน้อมต่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม

แล้วพุทธะมีค่าไหม... พุทธะต้องมีค่าเว้ย... แล้วพุทธะมีค่าจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาปฏิบัติขึ้นมา พุทธะก็มีคือหัวใจเรานี่แหละ พุทธะคือผู้รู้ ผู้รู้ที่มันไม่หลงไป ผู้รู้ที่มีสติปัญญาของเรา และผู้รู้ที่แก้ไขของเรา นี่มันเป็นประโยชน์กับเรานะ นี่สัจธรรม สัจธรรมมันมีเหตุมีผลของมัน มันมีที่มาที่ไป

เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่า จิตกี่ดวงๆ อันนั้นเป็นธรรมที่สะอาดบริสุทธิ์ คือพลังงานที่สะอาดบริสุทธิ์ แต่เราจะเอาพลังงานที่สกปรกของเราไปใคร่ครวญพลังงานที่สะอาดบริสุทธิ์ เราใคร่ครวญไม่เป็นหรอก ฉะนั้นเราต้องทำตัวเราให้มันสะอาดบริสุทธิ์ก่อน แล้วมันถึงจะเหมือนกันอย่างนั้นไง ไม่ใช่ว่า คุณก็อนาคามี... ฉันก็อนาคามี... ทำไมถึงเป็นอนาคามีล่ะ...? อ้าว! ก็ฉัน..คุณก็ว่างๆ เราก็ว่างๆ เป็นอนาคามีด้วยกัน เขาพูดกันอย่างนี้จริงๆ เขาพูดกันอย่างนี้

แล้วว่างๆ เราก็ทำ เราก็นึกให้ว่างๆ ได้ นั่งอยู่นี่เป็นอนาคามีหมด ไม่มีใครไม่เป็นอนาคามีเลย ก็นึกให้มันว่าง มันก็ว่างทั้งนั้นแหละ แล้วเราได้อะไรล่ะ เราเสียประโยชน์เรานะ นี่เราตั้งใจของเรา พูดนี้เพื่อให้ได้ประโยชน์ พูดเพื่อเตือนสติ แล้วมีเหตุมีผลไปคิดเอา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “อย่าเชื่อ กาลามสูตร แล้วต้องพิสูจน์ตรวจสอบ แล้วความจริงอันนั้นจะเป็นของเรา” เอวัง